วันจันทร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2556

เพลง ที่ผมชอบ
 
คุกเข่า - COCKTAIL
 
 
ฉันกำลังขอร้องอ้อนวอนเธออย่าไป  ทิ้งตัวลงคุกเข่ากอดขาเธอเอาไว้  พนมสองมือขึ้นกราบกรานเธอโปรดอย่าไป  มันคงไม่มีประโยชน์ถ้าคนมันหมดใจ
แต่ถ้าตัวเธอยังรัก ยังห่วงใย  และถ้าอดีตของเรายังพอมีความหมาย  ได้โปรดอย่าจากฉันไป  ได้โปรดอย่าทำร้ายกันเลย
 
บทเพลง เพราะๆจาก COCKTAIL
 

วันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ยุคของ NVIDIA





NVIDIA ได้ฤกษ์เปิดตัว GeForce ซีรีส์ 700 รุ่นสำหรับเดสก์ท็อปอย่างเป็นทางการ (หลังจากเปิดตัว GeForce 700M สำหรับโน้ตบุ๊กไปก่อนแล้ว)
การ์ดตัวแรกของซีรีส์ 700 คือ GeForce GTX 780 ตามธรรมเนียมปฏิบัติของรุ่น x80 (ก่อนจะออกรุ่น x90 ตามมาในภายหลัง) ในแง่เทคนิคแล้ว ซีรีส์ 700 ไม่น่าตื่นเต้นนักเพราะยังอยู่บนสถาปัตยกรรม Kepler และการผลิตระดับ 28 นาโนเมตรที่ใช้มาตั้งแต่ซีรีส์ 600 (ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสถาปัตยกรรม Maxwell ในซีรีส์ 800 ปี 2014)
สิ่งที่ NVIDIA พัฒนาขึ้นในซีรีส์ 700 จึงเป็นการอัดหน่วยประมวลผล (stream processor) แบบเดิมให้มีจำนวนเยอะขึ้นกว่าซีรีส์ 600 รวมถึงอัดสเปกด้านอื่นๆ เช่น VRAM ให้เพิ่มขึ้นนั่นเอง
GeForce GTX 780 ไม่ถือเป็นจีพียูตัวท็อปสุดของ NVIDIA ในขณะนี้ เพราะยังเป็นรอง GeForce GTX Titan การ์ดจอรุ่นพิเศษสำหรับตลาดโปรอยู่เล็กน้อย (แต่ราคาถูกกว่ากันพอสมควร)

สเปกคร่าวๆ
  • CUDA Cores จำนวน 2304 คอร์ (Titan มี 2688 คอร์)
  • ความเร็วสัญญาณนาฬิกา 863MHz, โหมด Boost ที่ 900MHz
  • แรม GDDR5 6GHz 3GB
  • OpenGL 4.3, DirectX 11, PhysX
  • รองรับความละเอียดสูงสุด 4096x2160 (HDMI) และ 2048x1536 (VGA) ต่อจอได้สูงสุด 4 จอ
  • TDP 250 วัตต์
  • ราคา 649 ดอลลาร์ (Titan ขาย 999 ดอลลาร์)



จุดเด่นที่ NVIDIA เพิ่มเข้ามาในรุ่นนี้คือซอฟต์แวร์ NVIDIA GeForce Experience ที่ทำหน้าที่สองอย่าง
  • ดาวน์โหลดไดรเวอร์เวอร์ชันล่าสุดให้อัตโนมัติ
  • ปรับ NVIDIA เอง

ที่มา : https://www.blognone.com/node/44640

วันจันทร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

กฎของมัวร์ (Moore's Law)

กฎของมัวร์ (Moore's Law)


กฎของมัวร์ (Moore’s law) อธิบายโดย กอร์ดอน มัวร์ (Gordon Moore) อดีตซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทอินเทลกล่าวถึง ปริมาณของทรานซิสเตอร์บนวงจรรวม จะเพิ่มเป็นเท่าตัวทุกสองปี

หากกฎของมัวร์เป็นจริงคอมพิวเตอร์จากอดีตสู่ปัจจุบันจะก้าวไปอย่างไรในปี พ.ศ. 2490 วิลเลียมชอคเลย์และกลุ่มเพื่อนนักวิจัยที่สถาบัน เบลแล็ป ได้คิดค้นสิ่งที่สำคัญและเป็นประโยชน์ต่อชาวโลกมาก เป็นการเริ่มต้นก้าวเข้าสู่ยุคอิเล็กทรอนิคส์ที่เรียกว่า โซลิดสเตทเขาได้ตั้งชื่อสิ่งทีประดิษฐ์ขึ้นมาว่า "ทรานซิสเตอร์" แนวคิดในขณะนั้นต้องการควบคุมการไหลของกระแสไฟฟ้า ซึ่งสามารถทำได้ดีด้วยหลอดสูญญากาศแต่หลอดมี ขนาดใหญ่เทอะทะใช้กำลังงานไฟฟ้ามากทรานซิสเตอร์จึงเป็นอุปกรณ์ที่นำมาแทนหลอดสูญญากาศได้เป็นอย่างดีทำให้เกิดอุตสาหกรรมสาร กึ่งตัวนำตามมา และก้าวหน้าขึ้นเป็นลำดับ

ทฤษฎีของมัวร์ได้กล่าวไว้ว่าความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและความซับซ้อนของเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอรืทำให้สามารถผลิต     ไอซีที่มี ความหนาแน่นไดด้เป็นสองเท่าทุก ๆ ช่วงระยะเวลาหนึ่ง เขาได้ทำการพล็อตกราฟแบบสเกลล็อกให้ดูจากอดีตและพบว่าเป็นเช่นนั้นจริง นอกจากนี้ความก้าวหน้าอื่น ๆ อีกหลายอย่างก็เป็นไปตามกฎของมัวร์ด้วยเช่นกัน

การสร้างทรานซิสเตอร์มีพัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง บริษัท แฟร์ซายด์ เซมิคอนดัคเตอร์เป็นบริษัทแรกที่เริ่มใช้เทคโนโลยีการผลิต ทรานซิสเตอร์แบบ    planar หรือเจือสารเข้าทางแนวราบ เทคโนโลยีนี้เป็นต้นแบบของการสร้างไอซีในเวลาต่อมา จากหลักฐานที่กล่าวอ้างไว้พบว่า บริษัทแฟร์ซายด์ได้ผลิตพลาน่าทรานซิสเตอร์ตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. 2502 และบริษัทเท็กซัสอินสตรูเมนต์ได้ผลิตไอซีได้ในเวลาต่อมา และกอร์ดอนมัวร์ก็ได้กล่าวไว้ว่า จุดเริ่มต้นของกฎของมัวร์เริ่มต้นจากการเริ่มมีพลาน่าทรานซิสเตอร์

กอร์ดอน มัวร์ เป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทอินเทล ได้ใช้หลักการสังเกตตั้งกฎของมัวร์ (Moore’s law) ขึ้น ซึ่งเขาบันทึกไว้ว่า ปริมาณของทรานซิสเตอร์บนวงจรรวม จะเพิ่มเป็นเท่าตัวทุกสองปี และมีผู้นำกฎนี้มาใช้กับ eCommerce ดังนี้
กำลัง (หรือ ความจุ หรือ ความเร็ว) ของสิ่งต่อไปนี้เพิ่มขึ้นสองเท่าทุกๆ 18 เดือน
1. ความเร็ว Computer Processor
2. แบนด์วิธการสื่อสารและโทรคมนาคม
3. หน่วยความจำของคอมพิวเตอร์
4. ความจุฮาร์ดดิสก์

 
 

วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

บิตตรวจสอบ (Parity Bit)

บิตตรวจสอบ (Parity Bit)

ถึงแม้เลขฐานสองที่ใช้ในคอมพิวเตอร์มีอัตราความผิดพลาดต่ำ เพราะมีค่าความเป็นไปได้เพียง 0 หรือ 1 เท่านั้น แต่ก็อาจเกิดข้อบกพร่องขึ้นได้ภายในหน่วยความจำ ดังนั้น บิตตรวจสอบ หรือพาริตี้บิต จึงเป็นที่เพิ่มเติมเข้ามาต่อท้ายอีก 1 บิต ซึ่งถือเป็นบิตพิเศษที่ใช้สำหรับตรวจสอบความแม่นยำและความถูกต้องของข้อมูลที่จะถูกจัดเก็บลงในคอมพิวเตอร์

วิธีการตรวจสอบอยู่ 2 วิธี คือ

1.การตรวจสอบบิตภาวะคู่ (Even Parity)
2.การตรวจสอบบิตภาวะคี่ (Odd Parity)

วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

รหัสแทนข้อมูล รหัส ASCII และ รหัส Unicode

 รหัส ASCII


ในช่วงทศวรรษ 1960 ความต้องการที่จะทำให้การสื่อสารดังกล่าวเป็นมาตรฐานจึงทำให้เกิดโค้ดที่เรียกว่า American Standard Code for Information Interchange (ASCII) (อ่านว่าแอสกี) โดยตาราง ASCII ขนาด 7 บิท ประกอบด้วยตัวเลข 128 ตัวซึ่งจะใช้แทนอักขระ ทั้งนี้ ASCII ให้วิธีที่คอมพิวเตอร์สามารถเก็บและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นและโปรแกรมอื่นๆ ได้ดังนั้น ASCII Code จึงเป็นรหัสที่เขียนได้ 3 แบบ เช่นอักษร A สามารถแทนเป็นรหัสได้ดังนี้

สัญลักษณ์
เลขฐานสิบ
เลขฐานสอง
เลขฐานสิบหก
A
65
100 0001
4 1

รหัส ASCII สามารถใช้แทนข้อมูลอักขระและคำสั่งได้มากขึ้น และมีการขยายเป็นรหัสแบบ 8 บิท

ตารางรหัส ASCII

วิธีอ่านตาราง ASCII

1. ชี้ตรงตัวอักษรที่ต้องการแทนรหัส เช่น A
2. อ่านค่ารหัสในตารางแนวตั้งตรงตำแหน่ง b7 b6 b5 และ b4 ค่าที่ได้ คือ 0100
3. อ่านค่ารหัสในตารางแนวนอนตรงตำแหน่ง b3 b2 b1 และ b0 ค่าที่ได้ คือ 0001
4. ดังนั้นรหัสแทนข้อมูลของตัวอักษร ก คือ 0100 0001

     _______________________________________________________


รหัส UNICODE

 

คือมาตรฐานอุตสาหกรรมที่ช่วยให้คอมพิวเตอร์แสดงผลและจัดการข้อความธรรมดาที่ใช้ในระบบการเขียนของภาษาส่วนใหญ่ในโลกได้อย่างสอดคล้องกัน ยูนิโคดประกอบด้วยรายการอักขระที่แสดงผลได้มากกว่า 100,000 ตัว พัฒนาต่อยอดมาจากมาตรฐานชุดอักขระสากล (Universal Character Set: UCS) และมีการตีพิมพ์ลงในหนังสือ The Unicode Standard เป็นแผนผังรหัสเพื่อใช้เป็นรายการอ้างอิง นอกจากนั้นยังมีการอธิบายวิธีการที่ใช้เข้ารหัสและการนำเสนอมาตรฐานของการเข้ารหัสอักขระอีกจำนวนหนึ่ง การเรียงลำดับอักษร กฎเกณฑ์ของการรวมและการแยกอักขระ รวมไปถึงลำดับการแสดงผลของอักขระสองทิศทาง



      _______________________________________________________

 
NUTTAPON AUISAKUL
 
แทนด้วยรหัส ASCII ดังนี้
 
N = 0100 1110
U = 0101 0101
 T = 0101 0100
 T = 0101 0100
 A = 0100 0001
 P = 0101 0000
 O = 0100 1111
 N = 0100 1110
 spacebar = 0010 0000
 A = 0100 0001
 U = 0101 0101
 I = 0100 1001
 S = 0101 0011
 A = 0100 0001
 K = 0100 1011
 U = 0101 0101
 L = 0100 1100
 
ใช้พื้นที่ในการจัดเก็บจำนวน 136 bit 17 byte
 
 
 
ขอบคุณครับ
 
      _______________________________________________________



วันจันทร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ยุคของคอมพิวเตอร์


คอมพิวเตอร์ยุคที่ 1
เริ่มจากเครื่อง UNIVAC I เผยสู่สาธารณชนอย่างเป็นทางการเครื่อง UNIVAC I เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่นำมาใช้กับงานด้านธุรกิจ ในยุคแรกจะใช้ หลอดสูญญากาศ เป็นหน่วยประมวลผลกลางโดยมีดรัมแม่เหล็ก เป็นหน่วยความจำหลักและใช้บัตรเจาะรูเทปกระดาษเป็นหน่วยความจำสำรอง
 

คอมพิวเตอร์ยุคที่ 2
ในยุคที่ 2 นี้ได้ค้นพบ ทรานซิสเตอร์ มาใช้แทนหลอดสูญญากาศ คุณสมบัติคือ เป็นสวิตช์ที่มีขนาดเล็ก ใช้พลังงานน้อยประมวลผลเร็วและมีความน่าเชื่อถือกว่าหลอดสูญญากาศ คอมพิวเตอร์ที่เกิดในยุคนี้ ส่วนความจำหลักที่ใช้คือวงแหวนแม่เหล็กและใช้บัตรเจาะรู เทปแม่เหล็กเป็นหน่วยความจำสำรอง และในปลายยุคได้มีการใช้จานดิสก์

คอมพิวเตอร์ยุคที่ 3
 คอมพิวเตอร์ยุคที่สาม อยู่ระหว่างปี พ.ศ. 2507 ถึง พ.ศ. 2512 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้วงจรรวม (Integrated Circuit : IC) โดยวงจรรวมแต่ละตัวจะมีทรานซิสเตอร์บรรจุอยู่ภายในมากมายทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์จะออกแบบซับซ้อนมากขึ้น และสามารถสร้างเป็นโปรแกรมย่อย ๆ ในการกำหนดชุดคำสั่งต่าง ๆ ทางด้านซอฟต์แวร์ก็มีระบบควบคุมที่มีความสามารถสูงทั้งในรูประบบแบ่งเวลาการทำงานให้กับงานหลาย ๆ อย่าง

คอมพิวเตอร์ยุคที่ 4
คอมพิวเตอร์ยุคที่สี่ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513 จนถึงปัจจุบัน เป็นยุคของคอมพิวเตอร์ที่ใช้วงจรรวมความจุสูงมาก(Very Large Scale Integration : VLSI) เช่น ไมโครโพรเซสเซอร์ที่บรรจุทรานซิสเตอร์นับหมื่นนับแสนตัว ทำให้ขนาดเครื่องคอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กลงสามารถตั้งบนโต๊ะในสำนักงานหรือพกพาเหมือนกระเป๋าหิ้วไปในที่ต่าง ๆ ได้ ขณะเดียวกันระบบซอฟต์แวร์ก็ได้พัฒนาขีดความสามารถสูงขึ้นมาก มีโปรแกรมสำเร็จให้เลือกใช้กันมากทำให้เกิดความสะดวกในการใช้งานอย่างกว้างขวาง

 คอมพิวเตอร์ยุคที่ 5
คอมพิวเตอร์ยุคที่ห้า เป็นคอมพิวเตอร์ที่มนุษย์พยายามนำมาเพื่อช่วยในการตัดสินใจและแก้ปัญหาให้ดียิ่งขึ้น โดยจะมีการเก็บความรอบรู้ต่าง ๆ เข้าไว้ในเครื่อง สามารถเรียกค้นและดึงความรู้ที่สะสมไว้มาใช้งานให้เป็นประโยชน์ คอมพิวเตอร์ยุคนี้เป็นผลจากวิชาการด้านปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) ประเทศต่างๆ ทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และประเทศในทวีปยุโรปกำลังสนใจค้นคว้าและพัฒนาทางด้านนี้กันอย่างจริงจัง

ประวัติคอมพิวเตอร์


1.Charles Babbage  ได้ทำการออกแบบเครื่อง Difference Engine เมื่อปี ค.ศ. 1822 เครื่องดังกล่าวของแบบเบจก็สร้างได้ไม่สมบูรณ์แบบ แบบเบจตัดสินใจหยุดโครงการพัฒนาเครื่อง Difference Engine ต่อมาแบบเบจได้พัฒนาเครื่องใหม่ภายใต้ชื่อว่า Analytical Engine ดั้งนั้นแบบเบจจึงถูกขนานนามว่า "บิดาแห่งคอมพิวเตอร์"

2.Lady Augusta Ada Byron  เธอเป็นสตรีคนสำคัญคนหนึ่งที่ช่วยออกแบบเครื่องของแบบเบจและได้เสนอแนวคิดและเป็นผู้ที่เขียนโปรแกรมชิ้นแรกเพื่อใช้กับเครื่องดังกล่าว ต่อมาเธอจึงถูกขนานนามว่า
"โปรแกรมเมอร์คนแรกของโลก" นอกจากนี้ยังมีการตั้งชื่อภาษาคอมพิวเตอร์นั่นก็คือ ภาษาเอด้า (Ada)
3.Herman Hollerith  ในปี ค.ศ. 1887 เฮอร์แมน ฮอลเลอริธ ได้ทำการพัฒนาเครื่อง Tabulating Machines ขึ้น ซึ่งใช้บัตรเจาะรู สามารถจัดเรียงบัตรมากกว่า 200 ใบต่อนาที ต่อมาในปี ค.ศ. 1896 เฮอร์แมนก็ได้ทำการก่อตั้งบริษัทตนเองขึ้นมาภายใต้ชื่อว่า The Tabulating Machine Company และอีกไม่นานต่อมาก็ได้ทำการรวมบริษัทกว่า 10 แห่งและก่อตั้งบริษัทใหม่ชื่อว่า International Business Machines ปัจจุบันคือบริษัทที่มีชื่อเสียงทั่วโลกคือบริษัท IBM
4. Alan Turing  ถูกยกย่องว่าเป็น "บิดาแห่งวิทยาการคอมพิวเตอร์" และเป็นผู้ออกแบบ Turing Machine ซึ่งเป็นรากฐานของคอมพิวเตอร์ในยุคปัจจุบัน รวมทั้งเขายังมีบทบาทสำคัญในการถอดรหัส Enigma ซึ่งเคยถูกใช้โดยเยอรมนีในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
5.Konrad Zuse  สร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ไบนารีที่เขาได้ออกแบบทฤษฎีสำหรับภาษาโปรแกรมชั้นสูง ชื่อว่า Plankalkül
6.Prof. Howard H. Aiken  ร่วมมือกับวิศวกรจากไอบีเอ็มสร้างเครื่อง MARK I ซึ่งสร้างด้วยสวิตช์จักรกลไฟฟ้าที่เรียกว่า ตัวรีเลย์ (Electro-Magnetic Relays) และได้สร้างเสร็จสมบูรณ์เมื่อปี ค.ศ. 1944

7.Dr. John V. Atanasoff & Clifford Berry  ได้สร้างเครื่องคำนวณที่ใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ เป็นเครื่องแรกของโลกภายใต้ชื่อว่าเครื่อง ABC โดยใช้หลอดสูญญากาศ
8. Dr. John W. Mauchly & J. Presper Eckert  ปี ค.ศ. 1946 ได้เขาได้สร้างเครื่อง ENIAC ซึ่งมีประสิทธิภาพดีกว่าเครื่อง MARK I โดยเครื่อง ENIAC จำเป็นต้องใช้ห้องขนาด 30x50 ฟุตมีหลอดสูญญากาศมากกว่า 18,000 หลอด หนักกว่า 30 ตันใช้กำลังไฟฟ้า 150 กิโลวัตต์บวกเลขได้ 5000 ครั้งต่อวินาที ประมวลได้เร็วกว่าเครื่อง MARK I กว่าหนึ่งพันเท่า
9. Dr. John Von Neumann  ได้สร้างแนวคิดในการจัดเก็บโปรแกรม โดยมีหน่วยความจำที่สามารถทำหน้าที่ในการจัดเก็บได้ทั้ง ข้อมูล และชุดคำสั่ง และก็ได้เข้าร่วมมือกับทีมงานเดิมที่ได้สร้างเครื่อง ENIVAC เพื่อสร้างเครื่อง EDVAV
10.Dr. Ted Hoff  แห่งบริษัทอินเทลได้มีการพัฒนาไมโครโปรเซสเซอร์รุ่น Intel 4004
11.Steve Job & Steve Wazniak  ปี ค.ศ.1986 ได้สร้างแอปเปิลคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องแรก ภายใต้ชื่อว่า Apple II และได้รับการตอบรับถึงความสำเร็จอย่างรวดเร็วทั่วโลก
12. Bill Gates  เขากับผู้บุกเบิกด้านคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล เขาทำการพัฒนาโปรแกรมระบบปฏิบัติการ MS-DOS ขึ้นมาใช้งานบนเครื่องพีซีทั่วไป ทำให้ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม

วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2556

สถานที่ท่องเที่ยว จ.พังงา


สถานที่ที่ผมจะแนะนำให้ไปเที่ยวจังหวัดพังงา


                                                               เขาหลัก


 

เป็นสถานที่นักท้องเที่ยวที่รักความสงบ ไม่วุ่นวาย และมีโรงแรมหรูๆมากมายอย่างเช่น

1.โรงแรมสโรจิน (The Sarojin)

 

2.เลอ เมอริเดียน เขาหลัก บีช แอนด์ สปา รีสอร์ท (Le Meridien Khao Lak Beach & Spa Resort)

 
3.รามาดาเขาหลักรีสอร์ท (Ramada Khao Lak Resort)


คลิปจากเขาหลักครับ

 
ขอขอบคุณรูปภาพจากเว็บ
 

 

แนะนำตัวครับ

สวัสดีครับ

 

ผมชื่อ นาย นัฐพล  อุ๋ยสกุล  ชื่อเล่น  นิว
 
เกิดวันที่ 5 กันยายน 2537
 
ที่อยู่ 57/44 ม.1 ต.บางนายสี  อ.ตะกั่วป่า  จ.พังงา  82110
 
E-mail  hotnew@hotmail.co.uk
 
จบมาจาก โรงเรียนตะกั่วป่า"เสนานุกูล"
 
ปัจจุบันกำลังศึกษาต่อที่  มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต  คณะวิทยาการจัดการ สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ